ศรัทธาธิกะ / When you believe
Time reading :: 4 minutes
ใครที่ “สว่าง” จนสามารถดึงคนจากเงามืดให้เห็นแสงทางข้างหน้า
“แล้วเขาจะเดินเข้ามา ยื่นมือดึงให้ฉันนั้นเห็นแสงทางข้างหน้า เติมพลังชีวิตให้ฉันได้พบกับตา ในวันที่ฉันนั้น ไม่มีใคร เขาจะเดินเข้ามา เติมใจที่ท้อแม้ให้มีเรี่ยวแรงขึ้นใหม่ ทำให้ฉันเรียนรู้ ความสุขเกิดขึ้นได้ในใจตราบใดที่ความหวังยังมี ฉันจะรอวันนั้น
เพราะฉันรู้ว่าเขามีอยู่จริง และจะไม่ทิ้งให้ฉันไหวหวั่น เขาไม่ใช่แค่ความฝัน…..”
ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง จะมีบ้างไหม (Will It Be) ขับร้องโดย คุณโบ สุรัตนาวี สุวิพร เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบ แม้จะไม่ได้เปิดฟังบ่อย แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ ผู้เขียนก็อดคิดไม่ได้ว่า ใครที่ “สว่าง” จนสามารถดึงคนจากเงามืดให้เห็นแสงทางข้างหน้า
จนวันนึง เฮ้ย! พอเพลงนี้ดังขึ้นมาอีกที คำตอบก็ผุดขึ้นมาในหัวเลย “พระเยซู” นี่เอง พอลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ถึงได้รู้ว่าคนแต่งคือคุณบอย โกสิยพงษ์ โอ้โห! ทุกอย่างมันเคลียร์เลย (จริงๆ คนอื่นอาจจะรู้กันมานานละ) ยิ่งทำให้รู้สึกชื่นชมในความสามารถและพรสรรค์ของคุณบอยมากยิ่งขึ้น และเพิ่งได้มาดู music video ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็มีอะไรดีๆ แฝงอยู่
ถึงแม้จะเป็นคนพุทธ แต่ผู้เขียนก็มีความทรงจำดีๆ กับ “พระเจ้า” หรือ พระเยซู ในตอนที่เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนคริสต์ วันคริสมาสต์ คือ ช่วงเวลาที่ดีของชีีวิต อากาศหนาวๆ แสงแดดอ่อน ๆ เสียงร้องเพลง “พระทรงบังเกิด โลกจงยินดี …..” และในห้องเรียนที่กระดานดำเต็มไปด้วยรูปภาพระบายสีด้วยชอล์ก ของขวัญ ขนมและกิจกรรมต่างๆ
แต่ต้องยอมรับว่าตอนนั้นเด็กมาก รู้เรื่อง “พระเจ้า” แค่นิดเดียว จนเมื่อไม่กี่ปีก่อน บังเอิญไปเจอหนังสือเล่มนึงชื่อ “ความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา” หรือ “คริสตธรรม พุทธธรรม” กับ ใจความแห่งคริสตธรรม เท่าที่พุทธบริษัทควรจะทราบ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ หัวข้อหลัก ๆ จะมีดังนี้
- ว่าด้วยความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
- พระพุทธเจ้า และ พระเยซู เป็นผู้ทำให้โลกสมบูรณ์
- สำนวนในคัมภีร์ศาสนา มี 2 ชนิด (ภาษาคน และ ภาษาธรรม)
- การผ่อนสั้นผ่อนยาวระหว่างศาสนา
- คริสตศาสนาในทัศนะของพุทธบริษัท
- ว่าด้วยพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ
- พระเจ้าในความหมายทั่วไป – ข้าพเจ้า (ผู้เป็นข้าของพระเจ้า)
- พระเจ้าในภาษาธรรม/ภาษาคน
- พระเจ้าในภาษาคนมีความหมายภาษาธรรมทั้งสิ้น
- พระเจ้าในฐานะเป็นพระบุตร พระวิญญาณ ตรีมูรติ
- ว่าด้วยการไถ่บาปและการประสบความสำเร็จ
หลังจากที่ค่อยๆ อ่านทีละนิด ไม่รีบร้อน ใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะจบ แต่พอจบปุ๊บ รู้สึกเลยว่าจิตใจมัน “ใส” แปลกๆ เหมือนเข้าใจทั้งสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ทั้งสิ่งที่พระเจ้าสอน จนเกิดศรัทธาแบบบอกไม่ถูก สิ่งหนึ่งเพราะเราน้อมเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าและเมื่อคำสอนนั้นถูกตีความไปในทางเดียวกัน ทำให้รู้สึกเหมือนว่าจะไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้
โชคดีจริงๆ ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบก่อนเดินทาง เพราะไม่นานหลังจากนั้น ผู้เขียนต้องไปทำงานที่ยุโรปเป็นครั้งแรกในชีวิต และมันไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่นเลย เริ่มตั้งแต่เครื่องดีเลย์ ต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศหนึ่ง พอไปถึงก็ดีเลย์อีก แถมยังมีอาการปวดท้องรบกวนตลอดทาง จนแทบจะลืมวันลืมคืน ร่างกายรวนเรไปหมด
โรงแรมเป็นบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ บรรยากาศมืดๆ เหงาๆ เหมือนหลุดมาอยู่บ้านนอกยังไงยังงั้น ต้องฝากท้องไว้กับห้องอาหารของโรงแรมทั้งเช้าเย็น เป็นช่วงหน้าร้อนที่พระอาทิตย์ตกสามทุ่มกว่าๆ
วันศุกร์เย็นวันหนึ่ง อากาศดีเป็นพิเศษ ผู้เขียนเลยลองเดินสำรวจละแวกใกล้ๆ โรงแรม ระหว่างทางผ่านโบสถ์แห่งหนึ่ง ผู้เขียนหยุดยืนก้มหัวแสดงความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้า พอเดินผ่านไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็เห็นลมแรงพัดกิ่งต้นสนไกลๆ โอนเอน
“ระวังฝุ่น” ผู้เขียนรีบก้มหน้าหรี่ตา แต่แปลกมาก ทั้งๆ ที่ลมยังอยู่ไกลตั้งหลายสิบเมตร แต่กลับมีอะไรบางอย่างวิ่งเข้าตาจนรู้สึกเคืองขึ้นมาทันที ตาขวาลืมแทบไม่ขึ้น
ผู้เขียนพยายามเดินกลับโรงแรมแบบทำเป็นปกติ พอถึงห้อง ลองทุกวิธีที่นึกออกเพื่อเขี่ยสิ่งแปลกปลอมออกจากตา แต่ไม่สำเร็จ ถ้าใครเคยเดินทางไปต่างประเทศ แล้วเกิด “ป่วย” ขึ้นมา รับรองว่าเราจะรู้สึกแย่กว่าป่วยที่บ้านเป็นร้อยเท่า ทั้งกังวลว่าจะไปหาหมอที่ไหน จะสื่อสารยังไง มันวิตกไปหมด
ระหว่างนั่งฝืนกินข้าวเย็นในห้องอาหาร สายตาเหลือบไปเห็นไม้กางเขนที่มีพระเยซูถูกตรึงอยู่ ความรู้สึกตอนนั้นบอกว่า “นี่แหละ ที่พึ่งของเรา” ณ ดินแดนของพระองค์ ผู้เขียนตั้งจิตอธิษฐานขอความช่วยเหลือด้วยความนอบน้อม และในจังหวะเดียวกันนั้น ก็นึกถึงพระรัตนตรัย พร้อมกับบทสวดมนต์แปลจากสวนโมกข์ที่เคยท่องจำ
“บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งวัตถุสาม คือ พระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้นี้
ขออุปัททวะ (ความชั่ว) ทั้งหลาย จงอย่างมีแก่ข้าพเจ้าเลย ด้วยอำนาจอันสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น “ – รตนตตยปปณามคาถา
คืนนั้น ผู้เขียนหลับไปทั้งๆ ที่ตายังเจ็บ แต่พอตื่นขึ้นมา… เหลือเชื่อมาก! เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังลืมไปเลยว่าเมื่อวานตาเป็นอะไร!
ไม่ว่าจะเกิดหรือจะหายด้วยสาเหตุอันใดก็ตาม หลังจากวันนั้นทำให้เริ่มสนใจพระเยซูขึ้นมาอีกครั้ง ในห้องพักมีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในตู้หนังสือ คือทั้งตู้มีเล่มเดียวจริง ๆ จึงหยิบมาอ่าน จำไม่ได้ว่าปกหนังสือชื่ออะไร แล้วค่อยๆ รื้อฟื้นความทรงจำและศึกษาประวัติพระเยซูอีกครั้ง
พระเยซูตรัสสอนว่า “ถ้าเขาตบแก้มขวาของท่าน ก็จงให้ตบแก้มซ้ายด้วย ถ้าเขาฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่าน ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย” (มัดธาย 5/39-40)
พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า “ถ้าโจรจับเธอมัด แล้วเอาเลื่อยเลื่อยจากหนังถึงเนื้อ จากเนื้อถึงกระดูก จากกระดูกถึงเยื่อในกระดูก ภิกษุใดมีความรู้สึกขัดแค้นต่อโจรนั้นมิใช่คนของเรา” (กกจูปมสูตร ม.ม.)
สัญญลักษณ์ที่สำคัญของศาสนาคริสต์ คือ ไม้กางเขน เมื่อมองอย่างลึกซึ้งโดยท่านพุทธทาส ไม้ที่ยืนอยู่บนเสา นั่นก็คือ ตัว “I” มันคือ ตัวฉัน หรือ ตัวกู ส่วนไม้อีกอันที่ขวางอยู่ ก็คือ ตัดมันเสีย ตัวฉัน ตัวกู นี่คือหัวใจหลักของพุทธศาสนา คนที่นับถือคริสต์ มองว่าไม้กางเขนมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นบันไดสำหรับไปหาพระเจ้า จะไปหาพระเจ้าก็ต้องไปทางสัญลักษณ์ ในทำนองเดียวกันจะไปสู่นิพาน ก็ไปทางไม้กางเขนได้เหมือนกัน คือ ตัดตัวกูของกูทิ้งเสีย
คนสมัยก่อนมีหลักอยู่ว่า มนุษย์มีหนทางที่จะรอดพ้นด้วยหนทาง 3 อย่าง คือ
“ปัญญาธิกะ” เส้นทางแห่งปัญญา ดั่งนักปราชญ์ที่ใช้สติปัญญาพิจารณาสรรพสิ่ง เมื่อเผชิญความทุกข์ ผู้เดินทางสายนี้จะใช้ปัญญามองเห็นความจริงของชีวิต เข้าใจถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตน แล้วปล่อยวางได้อย่างสงบ
“วิริยาธิกะ” เส้นทางแห่งความเพียร เปรียบดั่งนักรบผู้กล้า ที่ใช้พลังแห่งจิตใจอันเข้มแข็ง ฝึกฝนจิตให้มั่นคง เมื่อเจอปัญหา พวกเขาจะใช้ความเพียรพยายามบ่มเพาะจิตใจให้เข้มแข็ง จนสามารถยืนหยัดท่ามกลางพายุชีวิตได้อย่างสงบนิ่ง
“ศรัทธาธิกะ” เส้นทางแห่งศรัทธา ดุจดั่งผู้ศรัทธาที่มอบกายถวายใจต่อพระผู้เป็นเจ้า พวกเขามองทุกเหตุการณ์ในชีวิตเป็นพรและบททดสอบจากเบื้องบน ด้วยความรักและศรัทธาอันแรงกล้า ทำให้พวกเขาสามารถยอมรับและผ่านพ้นความทุกข์ไปได้
รวมเป็นสามทางด้วยกัน แล้วแต่ใครจะเลือกเอาวิธีไหนให้เหมาะกับอุปนิสัยแห่งตน พระพุทธศาสนา เอียงไปทาง ปัญญาธิกะ คริสตศาสนา เอียงไปทาง ศรัทธาธิกะ อิสลาม เอียงไปทาง วิริยาธิกะ แต่เมื่อกล่าวโดยแท้แล้ว จะมีศาสนาใดถือหลักเพียงข้อเดียวเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด คือ จะต้องมีครบด้วยกันทั้งสามอย่าง หากแต่ว่าศาสนาหนึ่งอาจจะได้ถือเอาหลักข้อใดข้อหนึ่งเป็นหลักสำคัญ
รู้สึกไม่แปลกใจที่หลายๆ คนเปลี่ยนจากนับถือพุทธไปนับถือคริสต์ หรือจากคริสต์มาพุทธ เพราะโดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว มีความเชื่อว่าสิ่งที่สะสมมาหรือเคยทำมาตั้งแต่ภพก่อนๆ พอถึงช่วงหนึ่งของชีวิต สิ่งนั้นจะเข้ามาหาเอง ..และด้วยพลังแห่งศรัทธา …. แล้วเขาจะเดินเข้ามา ยื่นมือดึงให้ฉันนั้นเห็นแสงทางข้างหน้า….
There can be miracles
When you believe
Though hope is frail
It’s hard to kill
Who knows what miracles
You can achieve
When you believe somehow you will
You will when you believe– The Prince of Egypt # –
ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ หากเธอมีศรัทธา
แม้ความหวังจะเปราะบาง แต่ทำลายให้สิ้นนั้นยากนัก
ใครจะรู้ ขอให้มีความเชื่อมั่น เมื่อนั้นปาฏิหาริย์จะบังเกิด
With this staff, you shall do my wonders…
“ด้วยไม้เท้านี้ เจ้าจะแสดงความมหัศจรรย์ของเรา…”
ประโยคจากเรื่อง The Prince of Egypt เป็นช่วงที่พระเจ้าตรัสกับโมเสส มอบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ เพื่อปลดปล่อยชาวอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์ ประโยคนี้แสดงถึงการมอบอำนาจจากพระเจ้าผ่านสัญลักษณ์คือไม้เท้า ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญในพระคัมภีร์ไบเบิล