วิปัสสนา พาเพลิน
![วิปัสสนา พาเพลิน](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/วิปัสสนา-พาเพลิน-STD.png)
มองก็แล้ว (Look) ดูก็แล้ว (Watch) แต่ก็อาจจะไม่เห็น (See)
ทำความรู้จักกับคำสำคัญ 3 คำ ได้แก่ “ปัญญา” “วิปัสสนา” และ “เห็น” ตามแบบฉบับธรรมระรื่น
Time reading : 3 minutes
1. ปัญญา
ปัญญา คืออะไร
สมมติว่าวันนี้เราตั้งใจจะเข้าครัวทำเมนูฟิวชั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต คือ “สปาเก็ตตี้ไส้อั่วลาบอีสาน” รสชาติจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่เรารู้ว่าก่อนอื่นต้องหาวิธีทำก่อน
ข้อมูลที่เราหามา ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหรือการดูวิธีทำ นั่นก็เป็นปัญญาแล้ว เป็นปัญญาที่ได้จากการศึกษา พอเราลงมือทำเมนูนี้เมื่อไหร่ มันก็จะเป็นปัญญาอีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการลงมือทำจริงๆ
ครั้งต่อไปที่เราลงมือทำ เมนูนี้ก็จะกลายเป็นความจำ หรือที่เรียกว่า “สัญญา” ในขันธ์ 5 เราจะทำตามขั้นตอนแบบอัตโนมัติ การทำครั้งแรกอาจจะยาก แต่เมื่อทำไปหลายๆ ครั้ง เราก็จะคุ้นเคยและสามารถทำได้โดยไม่ต้องคิดเลย
จนมาวันหนึ่งเราไปนั่งกินที่ร้านอาหาร แล้วเจอว่าลาบหมูร้านนั้นมันอร่อยกว่าที่เราทำใส่สปาเก็ตตี้ เราก็มานั่งคิดว่าอะไรที่ทำให้อร่อยกว่าเดิม เราก็เลยกลับมาทดลองจนกระทั่งค้นพบรสชาติที่เหมือนกัน หรือได้รสชาติใหม่ที่อร่อยยิ่งขึ้น
นี่ก็ถือว่าเป็นปัญญาเหมือนกัน เพราะมันเกิดจากการคิดและการทดลอง จนได้เจอหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา
![เมนู](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/วิปัสสนา-พาเพลิน-600x338.png)
โดยสรุป ปัญญา ก็คือ ความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้และการคิดค้นใหม่ๆ นั่นเอง
แต่ ปัญญา ในพุทธศาสนานั้น มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น
ผู้เขียนขอแยกเป็นคำว่า “ปัญญาทางโลก ” และ “ปัญญาทางธรรม ” ซึ่งนำไปใช้ในเป้าหมายที่แตกต่างกัน
ปัญญาในทางโลก เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อความสำเร็จและความสุขในชีวิตประจำวัน
ปัญญาในทางธรรม เน้นการเข้าใจและหลุดพ้นจากทุกข์ ผ่านการปฏิบัติธรรมและการเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริง
![วิปัสสนา ปัญญา](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/2.png)
ปัญญาในทางธรรมนั้นไม่ได้เกิดจากการนึกคิด แต่เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นมาเหมือนหลอดไฟที่จู่ๆ ก็เปิดแล้วสว่างจ้า ที่น่าแปลกใจคือ ความรู้ชนิดนี้จะอยู่ติดตัวกับเรา สามารถนึกหรือหยิบยกมาใช้เมื่อใดก็ได้ การที่จะได้ซึ่งปัญญาทางธรรม มีหนทางเดียวคือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
2. วิปัสสนา
วิปัสสนา คือ อะไร ?
วิ แปลว่า แจ่มแจ้ง
ปัสสนา แปลว่า การเห็น
วิปัสสนา (insight) หมายถึง การเห็นแบบแจ่มแจ้ง เห็นกระจ่างแจ้งว่าธรรมชาติเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นตามความเป็นจริง
![วิปัสสนา](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/วิปัสสนากรรมฐาน-1.png)
แล้วการเห็นแจ้งนั้น มันเห็นแบบไหนกันนะ ?
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ จากรูปด้านล่าง ให้ลองดูว่าเห็นอะไร (ถ้าใครเคยเห็นแล้วขอให้ข้ามไปได้เลย)
![coffer illusion](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/IMG_5621-300x300.jpg)
คนทั่วไปที่เห็นภาพนี้ครั้งแรก จะมองเป็นลายเส้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่านั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มักจะมองเห็นภาพที่ชัดเจนหรือเด่นชัดก่อน แต่ถ้าผู้เขียนบอกว่า ในภาพนี้มีวงกลม 16 รูป ให้ทุกคนลองหาดู เชื่อว่าทุกคนก็ต้องนั่งจ้อง เอียงซ้าย เอียงขวา ซูมรูป หรือไม่ก็ค้านในใจว่ามันสี่เหลี่ยมชัดๆ จะมีวงกลมได้ยังไง หลอกหรือเปล่า
วิธีที่ทุกคนมองหาวงกลมนั้น ถือว่าเป็นการเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด โดยวิธีที่จะทำให้เห็นวงกลมของแต่ละคนอาจจะต่างกันไป แต่หลักการคือ ต้องเปลี่ยนมุมมองหรือจุดสนใจ ไปยังส่วนต่างๆ ลองหันไปหันมาหรือโฟกัสในส่วนเล็กๆ ของภาพทีละนิด
ภาพลวงตา “coffer illusion” ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบการมองเห็นและการรับรู้ของมนุษย์
ผู้เขียนกำลังจะโยงไปถึงเรื่องวิปัสสนา หลักการของการทำวิปัสสนากรรมฐานก็คล้ายๆ กับตัวอย่างภาพด้านบนนี้ คือ การมองและการพิจารณาอย่างละเอียดจะสามารถเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ เป็นการฝึกใจให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง และมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่ไม่มีการยึดติดหรือแทรกแซง
เมื่อเห็นวงกลมแล้ว ครั้งต่อไปเราก็จะเห็นวงกลมได้ทันที
![เห็น see](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/เห็น.png)
3. เห็น
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีคำว่า “เห็น” อยู่เต็มไปหมดด้านบน นอกจากนี้ยังมีคำที่ใช้ในบางบริบทควบคู่กัน เช่น คำว่า “ดู” หรือ “มอง”
“ดู” และ “เห็น” ในเรื่องของ “จิต” ต่างกันอย่างไร
ดูจิต คือ การเฝ้าดูการเกิดขึ้นและดับไปของความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ โดยไม่ไปปรุงแต่งหรือยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นอย่างมีสติ
ขณะที่ เห็นจิต คือ เห็นการเกิดและดับของอารมณ์ จากจิตที่มีการปรุงแต่ง เมื่อเราเห็นแบบนี้แล้ว ต่อไปเราจะเริ่มปล่อยวาง เข้าใจความจริงของสังขารทั้งหลายตามที่มันเป็น
ดังนั้น “วิปัสสนากรรมฐาน” คือ การฝึกเพื่อให้ “เห็น” เมื่อไหร่ที่เห็น นั่นแปลว่า เกิด “ปัญญา” และเราจะต้องสะสมปัญญานี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถปล่อยวางความยึดมั่นในตัวตนและกิเลสทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์ นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์และเข้าถึงนิพพานในที่สุด
ธรรมชาติของจิตมนุษย์คือไม่สามารถหยุดความคิดได้ ยกเว้นตอนนอน ไม่มีสติ สลบ หรือตายไปชั่วขณะ นี่คือจิตของปุถุชน แต่จิตของอริยชนสามารถควบคุมและหยุดความคิดได้ คนที่จะหยุดความคิดได้ต้องเท่าทันความคิดก่อน ซึ่งต้องเห็นการเกิดและดับของอารมณ์ก่อน เพราะถ้าไม่เห็นการเกิดและดับ ก็จะไม่สามารถเท่าทันในอารมณ์ได้ เนื่องจากจิตยังมีการปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
– สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี –
“ปัญญา” ไม่ใช่เรื่องหมายจำ หรือความคิด เป็นเรื่องของอารมณ์ปัจจุบันที่ปรากฏเฉพาะหน้า ราวกับตาเห็นรูป จึงจะเป็นปัญญา
ส่วนวิธีการวิปัสสนากรรมฐานนั้น ผู้เขียนขออนุญาตข้ามตรงจุดนี้ เพราะแต่ละคนมีจริตและครูบาอาจารย์ที่สอนแตกต่างกัน
สำหรับผู้เขียนแล้ว วิธีวิปัสสนามีเพียง 3 คำ สั้น ๆ คือ
Diligence, Effort, and Enjoyment
“เพียร” “พิจารณา” และ “เพลิดเพลิน”
![คน 3 ประเภท](http://www.dhammararuen.com/wp-content/uploads/2024/04/ลีโอนาร์โด-ดา-วินชี.png)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :: ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี หนังสือ “ศัพท์หมู 2” คำว่า “เห็น” โดย ภูมิชาย บุญสินสุข |